ความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับเหตุการณ์ความไม่สงบในรัสเซีย – ยูเครน คาดยืดเยื้อ ฉุดเศรษฐกิจชะลอตัว หวั่นเฟดหากเฟดอ้างปัจจัยเสี่ยงของสงครามตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยช้ากว่าคาด ดันเงินเฟ้อพุ่งต่อเนื่อง หนุนราคาน้ำมันและพลังงานทะยาน นักลงทุนเร่งบริหารความเสี่ยงลุยเก็บ “ทองคำ” ถือเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย กูรูมอง รัสเซียยึดยูเครน จะส่งผลให้ราคาทองคำโลกปรับลดลง 30-50 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ และหากจบลงด้วยดี ราคาทองคำดิ่งลึกกว่าเดิม อาจเห็นราคาทองคำโลกเคลื่อนไหวที่ 1,800-1,920 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ก่อนดีดขึ้นใหม่

นับจากความขัดแย้งในยูเครนรุนแรงขึ้น และไม่มีทีท่าว่าการเจรจาจะบรรลุผลหรือจบลงอย่างสันติ ซ้ำร้ายรัสเซียยังคงเดินหน้าส่งกองกำลังและกราดยิงถล่มยูเครนต่อเนื่อง ประเด็นร้อนนี้ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกดิ่งเหว สวนทางกับราคาน้ำมันและทองคำที่ขยับปรับเพิ่มแทบทุกวัน ขณะที่ราคาทองคำพุ่งสูงเพราะในภาวะสงคราม ทองคำจะเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย

สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเกือบ 30 ดอลลาร์ในวันจันทร์ (5 มี.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากการทำสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน ขณะที่สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนเม.ย. พุ่งขึ้น 29.3 ดอลลาร์ หรือ 1.49% ปิดที่ 1,995.9 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 17 ส.ค. 2563

สมาคมค้าทองคำ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์สงครามรัสเซียและยูเครนที่ยังยืดเยื้อในขณะนี้ ส่งผลให้ราคาทองคำในประเทศไทยนับตั้งแต่วันที่ 24 ก.พ.-7 มี.ค. 65 หรือ 12 วัน ปรับขึ้นมาแล้ว 1,650 บาท จากราคาทองคำแท่งรับซื้อที่บาทละ 29,150 บาท เพิ่มเป็น 30,800 บาท ขายออกที่บาทละ 29,250 บาท เพิ่มเป็น 30,900 บาท และทองรูปพรรณ จากเดิมรับซื้อที่บาทละ 28,622.08 บาท เพิ่มเป็น 30,244.20 บาท ขายออกบาทละ 29,750 บาท เพิ่มเป็น 31,400 บาท ซึ่งเป็นราคาซื้อขายสูงสุดในประวัติการณ์อีกครั้งต่อจากเมื่อช่วงเดือน ส.ค. 63 ที่ราคาทองคำแท่งเคยขายออกอยู่ที่ 30,400 บาท

ขณะที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อ 7 มีนาคม ปิดที่ระดับ 1,626.70 จุด ลดลง 45.02 จุด (-2.69%) มูลค่าการซื้อขาย 127,806.20 ล้านบาท ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวลงแรง เป็นไปตามทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศ ตอบรับความกังวลของนักลงทุนในสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยังคงยืดเยื้อ ประกอบมาตรการคว่ำบาตรที่ตอบโต้กันที่อาจมีออกมาเพิ่มเติม จะส่งผลกระทบต่อภาพรวมของเศรษฐกิจโลกให้กลับไปชะลอตัวได้ ทำให้เกิดแรงเทขายสินทรัพย์เสี่ยงเพื่อโยกเข้าไปที่สินทรัพย์ปลอดภัย

หากความขัดแย้งไม่ยุติ ทอง-น้ำมันพุ่งต่อ

นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) เปิดเผยว่า ราคาทองคำที่ปรับตัวสู่ระดับ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ อีกครั้งนับจากเคยทำจุดสูงสุดไว้ที่ 2,075 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์เมื่อเดือน ส.ค. 2563 นั้น เป็นผลมาจาก ความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับเหตุการณ์ความไม่สงบในรัสเซีย – ยูเครน ที่คาดว่าจะยืดเยื้อจนฉุดเศรษฐกิจให้ชะลอตัว โดยเฉพาะอัตราเงินเฟ้อที่อาจจะพุ่งขึ้นขึ้นอย่างต่อเนื่องตามราคาน้ำมันและราคาพลังงานที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะล่าสุดที่สหรัฐและชาติพันธมิตรกำลังพิจารณาห้ามการนำเข้าน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของรัสเซีย เพื่อตอบโตการรุกรานของรัสเซีย อย่างไรก็ดีเหตุการณ์รัสเซียบุกยูเครนนี้ยังส่งกระทบทางจิตวิทยากับทั่วโลก โดยเฉพาะการที่รัฐบาลจีนประกาศว่ากำลังดำเนินการซ้อมรบทางทหารนาน 1 สัปดาห์ในทะเลจีนใต้พื้นที่ระหว่างมณฑลไห่หนานทางตอนใต้ของจีนและเวียดนาม พร้อมกับเตือนให้เรือสินค้าออกจากพื้นที่ดังกล่าว

อีกหนึ่งปัจจัยที่สนับสนุนให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นมาจากกองทุน SPDR ซึ่งเป็นกองทุนทองคำขนาดใหญ่เข้าถือครองทองคำเพิ่มอย่างต่อเนื่อง โดยจากต้นปีถึงปัจจุบันเข้าถือครองทองคำเพิ่มแล้ว 78.62 ตัน ส่งผลให้ล่าสุดถือครองทองคำอยู่ที่ 1,054.28 ตัน ขณะเดียวกันนักลงทุนยังคงเทขายสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ รวมถึงอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ร่วงลงสู่ระดับ 1.702% ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนทั้งดอลลาร์สหรัฐ และยูโร ต่างปรับตัวลดลง เช่นกัน ทำให้ทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นสวนทางสินทรัพย์อื่นๆ ในฐานะสิทรัพย์ปลอดภัย

อย่างไรก็ตามวายแอลจี ประเมินการเคลื่อนไหวของทองคำในระยะกลาง-ยาวสดใส หากสถานการณ์ความตึงเครียดในยูเครนยังคงดำเนินต่อไปจะมีโอกาสทดสอบ 2,011-2,031 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ แม้กระทั่งทดสอบระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2,075 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่ในระยะสั้นอาจมีแรงขายทำกำไรสลับออกมาเป็นระยะ โดยมีแนะนำนักลงทุนให้ซื้อขายอย่างระมัดระวัง โดยแบ่งขายบางส่วนบริเวณแนวต้านที่ 2,014-2,031 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่ไม่ต้องขายทั้งหมดของพอร์ต เนื่องจากสถานการณ์คววามตึงเครียดในยูเครนยังมีความไม่แน่นอนสูง แล้วเข้าซื้อเพิ่มอีกครั้งเมื่อราคาอ่อนตัวลงทดสอบแนวรับมองที่1,974-1,958 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยควรชะลอการเข้าซื้อหากราคาหลุด 1,958 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่วนราคาทองคำในประเทศมีโอกาสเห็น 31,000 บาทต่อบาททองคำ

ดังนั้น จึงแนะนำให้นักลงทุนติดตามตัวเลขเศรษฐกิจฝั่งยุโรป ยุโรปเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนจาก Sentix ทั้งนี้แนะนำซื้อขายทำกำไรระยะสั้น โดยบริเวณแนวรับโซน 1,975-1,958 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากราคาสามารยืนเหนือโซนดังกล่าวได้แนะนำเข้าซื้อเพื่อลงทุนระยะสั้น โดยรอขายทำกำไรในโซน แนวต้าน 2,014-2,031 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากผ่านได้ถือต่อ

ดีลไม่สงบ พบราคาทองคำขยับทำนิวไฮ

นายแพทย์กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการฝ่ายบริหารกลุ่มบริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดทองคำเมื่อวันที่ 7 มีนาคมที่ผ่านมา ราคาปรับเปลี่ยนกว่า 10 ครั้ง ทำให้มีการปรับราคาขึ้นรวม 650 บาทต่อบาททองคำ โดยราคาทองแท่งขายออก อยู่ที่บาท (บาททองคำ) ละ 30,900 บาท รับซื้อ 30,800 บาท ส่วนทองรูปพรรณ ขายออก 31,400 บาท รับซื้อ 30,244.20 บาท ส่วนทองสปอตอยู่ที่ 1,998.50 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ อัตราแลกเปลี่ยน 32.94 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ซึ่งราคาทองคำไทยในปัจจุบันถือว่าปรับขึ้นในภาวะออลไทม์ไฮ แต่ไม่ใช่การขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ (นิวไฮ) เนื่องจากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ทองคำไทยขึ้นไปเคยปรับขึ้นทำนิวไฮแล้ว ที่ 33,000 บาทต่อบาททองคำ

ขณะที่ราคาทองคำโลกก็ยังไม่ได้ปรับขึ้นทำทั้งนิวไฮ และออลไทม์ไฮ เนื่องจากเคยปรับขึ้นไปทำนิวไฮแล้วที่ระดับ 2,072 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ซึ่งขณะนี้ราคาเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 2,000 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ทำให้เห็นบรรยากาศประชาชนนำทองคำออกมาขายหนาแน่นมาก โดย ตอนนี้ถือว่าเป็นช่วงที่เห็นแรงขายออกมาสูงสุด นับตั้งแต่ต้นปี 2565 โดยหลักๆ มาจากผลกระทบที่เกิดขึ้นจากสงครามรัสเซียและยูเครน รวมถึงคาดการณ์ว่าราคาทองคำยังอยู่ในขาขึ้น และมีโอกาสปรับขึ้นทำนิวไฮได้ แต่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ความขัดแย้งรัสเซียและยูเครนเป็นหลัก

“เมื่อสงครามรัสเซียและยูเครนคลายตัวลง ราคาทองคำก็จะต้องปรับลดลงตามแน่นอน แต่จะลดลงลึกมากหรือน้อยนั้น ขึ้นอยู่กับว่า ประเด็นความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนจะจบสวยหรือไม่สวย โดยประเมินว่า หากจบได้ไม่สวยงามนัก หมายถึงคลายตัวลง แบบรัสเซียเข้ายึดยูเครน จะส่งผลให้ราคาทองคำโลกปรับลดลงประมาณ 30-50 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ แต่จะเด้งกลับในระดับเดิม เนื่องจากมีภาวะเงินเฟ้อเป็นปัจจัยเสี่ยงระยะยาว ส่วนในกรณีหากสถานการณ์จบสวย คือสามารถคุยกันได้แบบไม่เสียเมืองให้ใคร ราคาทองคำจะลงได้ลึกกว่าเดิม โดยอาจเห็นราคาทองคำโลกเคลื่อนไหวที่ประมาณ 1,800-1,920 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ก่อนจะดีดขึ้นใหม่ เพราะมีความเสี่ยงเรื่องภาวะเงินเฟ้อรออยู่ แต่คงไม่สามารถเด้งขึ้นไปในระดับเดิมได้” นายแพทย์กฤชรัตน์กล่าว

นายณพวีร์ พุกกะมาน นักลงทุนและผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space (CIS) สถาบันให้ความรู้ด้านนวัตกรรมการลงทุนรูปแบบใหม่ เปิดเผยว่า “ทองคำ” มีโอกาสจะเป็นสินทรัพย์ทางเลือกที่ดีในปีนี้ เนื่องจากโลกมีความเสี่ยงเผชิญกับความขัดแย้งระหว่างประเทศตลอดทั้งปี โดยประเมินความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่เกิดขึ้นน่าจะเป็นปัจจัยเสี่ยงในระยะยาว แม้ว่าเหตุการณ์จะคลี่คลายได้ แต่ทั่วโลกจะหันมาจับตาการเคลื่อนไหวของรัสเซียหลังจากนี้

“ประเด็นของรัสเซียกับยูเครนน่าจะเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น ปัญหาความขัดแย้งของโลก ความไม่ลงรอยของกลุ่มผู้นำประเทศเดินหน้าเข้าสู่ภาวะตึงเครียดในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไปอีกนาน โดยผลการโหวตในสหประชาชาติได้สะท้อนแล้วว่าโลกถูกแบ่งเป็นสองฝ่าย คือฝ่ายสหรัฐอเมริกา ที่มี NATO เป็นแกนนำกับฝั่งทางรัสเซีย ขณะที่ จีน ยังมีประเด็นอ่อนไหวของไต้หวันที่รอจะเกิดขึ้นอีก ทองคำ เป็นสินทรัพย์ที่ทุกฝ่ายมองแล้วว่าเป็นตัวเลือกปลอดภัยอันดับที่หนึ่ง หากโลกเข้าสู่ภาวะไม่แน่นอนและน่าจะเป็นสินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวได้ด้วย” นายณพวีร์กล่าว

ประกอบกับ “ทองคำ” ยังมีประเด็นเรื่องของการเป็นสินทรัพย์ที่สามารถบริหารความเสี่ยงกับอัตราเงินเฟ้อได้ ถ้าหากธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) นำปัจจัยเสี่ยงเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างประเทศมาใช้ในการตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยช้าลงกว่าที่คาด ทองคำ ยังมีโอกาสได้รับปัจจัยหนุนจากเงินเฟ้อ ซึ่งคาดว่าจะอยู่ในระดับสูง จากราคาน้ำมันที่ทำจุดสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่องด้วย

ดังนั้น ปัจจัยทางเทคนิค ราคาทองคำ ได้ทะลุกรอบราคาแนวโน้ม Sideway ซึ่งเกิดขึ้นมาตั้งแต่เดือนกันยายนปีที่แล้วออกมาได้ หากราคาไม่ลงมาต่ำกว่าระดับ 1,840 ดอลลาร์สหรัฐฯ ยังถือว่าเป็นเพียงแค่การย่อตัวเพื่อที่จะปรับตัวขึ้นทดสอบจุดสูงสุดเดิมที่ระดับ 2,077 ดอลลาร์สหรัฐฯ และมีโอกาสที่จะสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้ จึงมองว่าควรมีทองคำติดอยู่ในพอร์ตในปีนี้ โดยผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี (YTD) ปรับตัวขึ้น 7.8% ขณะที่ “น้ำมัน” เป็นสินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนมากที่สุดตั้งแต่ต้นปีนี้ โดยราคาน้ำมันดิบ WTI และ Brent ปรับตัวขึ้นกว่า 50% แล้ว

ทั้งนี้ คาดว่าราคาทองจะยังคงพุ่งขึ้นต่อไป หากสถานการณ์ในยูเครนยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยราคาทองมีแนวโน้มขึ้นทดสอบระดับ 2,100 ดอลลาร์ และจะทำสถิติสูงสุดตลอดกาลครั้งใหม่ ขณะที่ กองทุน SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุน ETF ทองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เพิ่มการถือครองทองสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.2564 เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ดี สิ่งที่ต้องจับตาหลังจากนี้ คือการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) วันที่ 16 มีนาคมนี้ ที่เดิมคาดว่าจะขึ้นดอกเบี้ยถึง 0.50% ในครั้งเดียว อาจจะเป็นไปได้ว่าจะขึ้นเพียงแค่ 0.25% รวมถึงความคิดเห็นจากประธาน FED ถึงแนวโน้มเศรษฐกิจและนโยบายการเงินที่เหลือของปีนี้ ซึ่งจะนำไปสู่ทิศทางราคาของแต่ละสินทรัพย์ต่อไป

อ้างอิง
https://m.mgronline.com/stockmarket